วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
กลวิทยาศาสตร์
สมาชิกในกลุ่ม 1.นาย นัทธพงศ์ แข่งขัน เลขที่2 ม.3/2 2.นาย ภูวภัทร สิทธิสัน เลขที่6 ม.3/2 3.ด.ช.บุญญาฤททธิ์ ชื่นชม เลขที่39 ม.3/2 เรื่อง กลวิทยาศาสตร์ การปอกไข่ต้ม
ฉากที่ 1 (นาย นัทธพงศ์ แข่งขัน)
แนะนำตัว และ อุปกรณ์ 4 นาที
สวัสดีคับ ผมนาย นัทธพงศ์ แข่งขัน สวัสดีคับ ผมนายภูวภัทร สิทธิสัน
สวัสดีคับ ผมเด็กชาย บุญญาฤทธิ์ ชื่นชม
พวกผมจะมาอธิบาย กลวิทยาศาสตร์ เรื่องการ ปอกไข่ ครับ
โดยมีอุปกรณ์ ดั้งนี้ ครับ
1. เตาแก๊ส
2. หม้อ
3. ไฟแช็ก
4. ไข่
5. น้ำเปล่า
6. ถ้วย,จาน
ฉากที่ 2 (นาย ภูวภัทร สิทธิสัน)
เราต้องนำไข่ไปต้มทิ้งไว้ ประมาณ 7 นาที ครับ แล้วก้เตรียมถ้วยใส่น้ำ ครับ พอต้มไข่ครบ 7 นาที เราก็นำไข่ไปใส่ในถ้วยที่เตรียมไว้ หลังจานั้น แช่ไข่ไว้ในน้ำ ประมาณ 2 วินาที เพื่อลดความร้อน
ฉากที่ 3 (ด.ช.บุญญาฤททธิ์ ชื่นชม )
หลังจากนั้นเรา ก็ปอก ไข่ที่ส่วนหัวไข่ และท้ายไข่ แล้วใช่ปากเป่าส่วนหัวไข่
ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที่
จบการปฏิบัติ ครับ
วันที่ถ่ายทำ วันที่ 20
เดือน พฤจิกายน พ.ศ 2553
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
RAM
แรม (RAM) |
|
ประวัติคอมพิวเตอร์ และวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
| |
| |
Pascal’s Calculato | |
| |
| |
| |
| |
| |
| |
| |
|
ก่อกำเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์
เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจำ(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก
บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทำการว่าจ้างให้ Intel ทำการผลิตชิปไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจำนวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่ โดยสร้างชิปที่ให้ถูกโปรแกรมได้ หมายถึงว่าสามารถนำเอาชุดคำสั่งของการคำนวณไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทำงานภายหลัง
ในปี 1971 Intel ได้นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จำนวน 2250 ตัว และเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิต
หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคำสั่ง 48 คำสั่ง และอ้างหน่วยความจำได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจำได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคำสั่งพื้นฐาน 74 คำสั่งและสามารถอ้างหน่วยความจำได้ 64 Kbyte
ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลก
เมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์ 8800 (Altair) ซึ่งทำออกมาเป็นชุดคิท โดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือ จะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนำไปประกอบขึ้นใช้เอง
บริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตลาดในด้านเครื่องคิดเลข แต่การค้าชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกล คิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขาย ได้ในจำนวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุด จึงให้ทิมงานออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมา ประกาศตัวในปีถัดไป สำหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคำว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิทคอมพิวเตอร์ชุดนี้
ชุดคิทของ อัลแตร์ นี้ประกอบด้วย ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพพลาย มีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพื่อแสดงผล รวมถึงหน่วยความจำ 256 Byte ( แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่มได้ แต่ก็ทำให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียว มีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจำนวนถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียว
ด้วยชิป 8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กำเนิดระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเอง
ถึงยุค Z80
เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน แม้แต่ซีพีเอ็ม ก็ยังถูกปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนำไปใช้ ในการเรียนการสอน ไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Sila เป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาท น่ะจะบอกให้)
Computer เครื่องแรกของ IBM
ในปี 1975 ไอบีเอ็ม ได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจำ 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สำหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ
ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนำเอาจุดเด่นของเครื่อง ที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจำหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอื่น ๆ จับตามอง
กำเนิด แอปเปิ้ล
ในปี 1976 หลังจาก Stephen Wozniak และ Steve Jobs ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) และได้นำเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขายโดยใช้ชื่อว่า Apple I ในราคา 695 เหรียญ บริษัทแอปเปิลได้ผลิตเครื่อง Apple I ออกมาไม่มากนัก ภายในปีเดียวได้ผลิต Apple II ออกมา
และรุ่นนี้เป็นรุ่นเปิดศักราชแห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด
ประวัติความเป็นมา ของ Mercedes Benz
ประวัติความเป็นมา ของ Mercedes Benz
สองนักประดิษฐ์ผู้หมุนกงล้อประวัติศาสตร์คาร์ล เบนซ์ และกอตต์ลีบ เดมเลอร์ คือผู้บุกเบิกแห่งโลกยนตรกรรมทั้งคู่เป็นนักประดิษฐ์ และพัฒนายานยนต์ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ได้ร่วมกิจการเป็นบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ เอจี(Daimler-Benz AG) ผู้ผลิตรถคุณภาพในนามเมอร์เซเดส-เบนซ์
กอตต์ลีบ เดมเลอร์ คือผู้นำระบบสันดาปภายในมาสนองวิสัยทัศน์แห่งการขับขี่ขนส่งโดยเริ่มทดสอบเครื่องยนต์พลังสูงเครื่องแรกของโลกในปี 1883 สองปีต่อมาเขาได้ผลิตจักรยานยนต์คันแรกของโลกโดยติดตั้งเครื่องยนต์เข้ากับจักรยานอีกสามปีต่อมา เขาได้ติดตั้งเครื่องยนต์ดังกล่าวเข้ากับตัวรถม้านับเป็นรถยนต์สี่ล้อคันแรกในชีวิตนักประดิษฐ์ของเขา
คาร์ล เบนซ์ เลือกเส้นทางยนตรกรรมที่แตกต่างจาก เดมเลอร์ เขาถือว่าการสร้างรถยนต์จะต้องอาศัยหลักการที่แตกต่างจากระบบรถเทียมม้าโดยสิ้นเชิงด้วย เหตุนี้เขาจึงออกแบบยานยนต์ให้มีสามล้อติดตั้งเครื่องยนต์หนึ่งสูบในแนวนอน และได้จดทะเบียนสิทธิบัตร เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1986 จำนวนรถที่ผลิตจากโรงงานของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรถรุ่น "เวโล(velo)" เริ่มปรากฏโฉมโดยระหว่างปี 1894 ถึง 1901 ผลิตได้ถึง 1,200 คัน อาจกล่าวได้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
ศาสตร์ และศิลป์แห่งยนตรกรรม
เกียรติประวัติอันยาวนานได้พิสูจน์ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้เป็นแค่พาหนะใช้งาน แต่เป็นผลึกความคิดซึ่งตกทอดมาจากรถคันแรกที่ใช้ชื่อ "เมอร์เซเดส" เมื่อ ค.ศ. 1900 ซึ่งมีรูปลักษณ์อันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับบรรดา "รถม้าที่ไม่ใช้ม้าลาก" ในยุคนั้นกล่าวคือ มีเครื่องยนต์ติดตั้งด้านหน้า บังคับถอยหลังได้ ติดกระจังหม้อน้ำแบบรวงผึ้ง มีกลไกเปลี่ยนเกียร์ดรัมเบรก และแกนพวงมาลัยแนวเฉียง นวัตกรรมเหล่านี้ คือคุณลักษณะที่โดดเด่นมาจนถึงวาระแห่งการเปิดศักราชเครื่องยนต์พลังงานสูงในปี 1921 ด้วยฝีมือสร้างสรรค์ของเฟอร์ดินาน พอร์ช และนับจากนั้นเป็นต้นมา เมอร์เซเดส-เบนซ์หลายรุ่นก็เรียงแถวออกมาเป็นดาวเด่นในวงการยานยนต์จนถึงปี 1952
ตำนานดาวสามแฉกในกรุงสยาม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องรถยนต์เป็นอย่างมากจนกระทั่งในปี พ.ศ.2447 เสด็จกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ทรงสั่งให้บริษัทเยอรมันในกรุงปารีส ประกอบรถยนต์เก๋งหนึ่งคัน ยี่ห้อเมอร์เซเดส รุ่น 28 hp 4 สูบ เครื่องยนต์ 35 แรงม้าหมายเลขแชสซี คือ 2397 และหมายเลขเครื่องยนต์ คือ 4290 และได้ทรงนำรถขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก รถคันนี้ คือรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย ต่อมาทรงเล็งเห็นว่ารถยนต์เพียงคันเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้งานตามพระราชประสงค์ เนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า และฝ่ายในหลายพระองค์ก็ทรงโปรดปรานรถยนต์กันทั้งนั้น จึงได้ตัดสินพระทัยซื้อรถยนต์พระที่นั่งอีกหนึ่งคัน และทรงเลือกเมอร์เซเดส-เบนซ์อีกครั้ง สั่งนำเข้าโดยตรงจากเยอรมนี เป็นรถเก๋งสีแดง รุ่นปี 2448 เครื่องยนต์สี่ลูกสูบขนาด 28 แรงม้า วิ่งเร็ว 73 กม. ต่อชั่วโมงซึ่งนับว่าเร็วมากในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามแก่รถยนต์ว่า "แก้วจักรพรรดิ์"
ด้วยศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยบริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์(ประเทศไทย) จำกัด จึงได้เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศครอบคลุมทั้งการนำเข้า และประกอบรถยนต์ จัดจำหน่ายรถยนต์นั่งสาธารณะ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ดาวสามแฉก ได้มาส่องสกาวนำทางอยู่บนท้องถนนเมืองไทยนับเป็นเวลากว่า 100 ปี และได้รับความนิยมชมชื่นในฐานะรถคุณภาพชั้นนำที่รับใช้คนไทยมาหลายยุคสมัย จวบจนวันนี้ได้มีรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ โลดแล่นอย่างโดดเด่นเป็นสง่าทั่วประเทศไทยมาแล้วกว่า 100,000 คัน และเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อรักษาความเป็นผู้นำแห่งยนตรกรรมเลิศหรูในประเทศไทยอย่างแท้จริง
ประวัติสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ย้อนรอยอดีตแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พอนึกถึง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" สโมสรฟุตบอลแนวหน้าของยุโรปทีไร พวกเราพลพรรค เรด อาร์มี่ ทุกคน ก็ต้องนึกย้อนไปถึงในอดีตในปี ค.ศ. 1902 แต่ก่อนหน้านี้ ทีมขวัญใจของพวกเราไม่ได้ชื่อนี้ พวกเขาถือกำเนิดด้วยชื่ออื่นๆ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานเกินกว่า 100 ปี ในปี ค.ศ. 1878 พนักงานการรถไฟสาย แลงคาเซียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ ได้เกิดไอเดียในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารมื้อเย็นอยู่ โดยพวกเขาได้ร่วมก่อตั้งทีมฟุตบอลทีมหนึ่งขึ้นมา และตระเวนเล่นกันอยู่ในแถบเมือง นอร์ธกราวด์ ซึ่งอยู่ใน นิวตัน ฮีธ
สถานที่ซ้อมก็ใช้รางรถไฟ เป็นเส้นแบ่งเขตสนาม ตลอดจนเสียงจากรถไฟเครื่องจักรไอน้ำ ก็เสมือนเป็นเสียงของกองเชียร์ ทีมฟุตบอล นิวตัน ฮีธ ที่พวกเขาตั้งขึ้นมาก็เล่นฟุตบอลกันได้อย่างดีเยี่ยมน่าประทับใจ โดยชุดแข่งที่ใช้นั้นเป็นเสื้อสี เขียว-เหลือง อย่างละครึ่ง ส่วนกางเกงเป็นสีดำและเป็นชุดเก่งของทีมด้วย พนักงานที่อยู่ในแถบนั้น แพ้ นิวตัน ฮีธ แบบสู้ไม่ได้เลย ในปี ค.ศ. 1885 สมาชิกในทีมได้ตัดสินใจติดต่อกับการรถไฟ และก่อตั้งทีมเพื่อเป็น บริษัท จำกัด โดยใช้ชื่อว่า นิวตัน ฮีธ ฟุตบอลคลับ
ผลงานชิ้นแรกของพวกเขาคือการคว้าแชมป์ของเมือง แมนเชสเตอร์ ในแมตช์ แมนเชสเตอร์ คัพ มาครอง นั่นคือถ้วยแรกของทีม นิวตัน ฮีธ ต่อมาอีก 3 ปี ฟุตบอลลีกของอังกฤษ ได้ก่อตั้งขึ้นมา ทีมรอบๆ เมือง โบลตัน กับ แอคคริงตัน ถูกเชิญเข้าร่วมการแข่งขันด้วย ยกเว้น นิวตัน ฮีธ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะยังมีอีกหลายทีมที่ไม่ได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกในตอนแรก พวกเขาก่อตั้งลีกกันเองโดยใช้ชื่อว่า อัลไลแอนช์ โดยมี เชฟฟิลด์ เว้นท์เดย์, นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ สมอลล์ ฮีธ ซึ่งในปัจจุบันก็คือทีม เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ นั่นเอง การแข่งขันในฤดูกาลแรกของพวกเขาได้อันดับ 8 จาก 12 ทีม ปีต่อมาได้อันดับ 9
ในปี ค.ศ. 1891 นิวตัน ฮีธ ได้รองแชมป์โดยเป็นรอง นอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อย่างไรก็ตามปีต่อมาฟุตบอลลีก มีการแก้ไขเรื่องสมาชิกใหม่ และพวกเขาตอบรับการเข้าร่วมในลีกการแข่งขัน แต่พวกเขาเริ่มต้นในลีกได้ไม่ดีนักเมื่อทีม นิวตันฮีธ เปิดฤดูกาลใหม่ด้วยการแพ้ให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไป 3-4 จากนั้นทีมก็ร่วงไม่เป็นท่า โดยชนะแค่ 6 ครั้งใน 30 นัด ตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง ก่อนที่จะรอดการตกชั้นเพราะว่า พวกเขาชนะ สมอลล์ ฮีธ 5-2 ที่ บรามอลล์เลน ปีต่อมา พวกเขายังเล่นแย่เหมือนเดิม และกลายเป็นทีมที่อยู่ในอันดับบ๊วยของตารางอีกเช่นเคย และก็โดน ลิเวอร์พูล ถล่มประตูเอาชนะไป 2-0 ทำให้ นิวตัน ฮีธ ตกชั้นไปในที่สุด นั่นเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของพวกเขา แม้จะมีการยุบลีกและตั้งใหม่ แต่ทีมก็มีปัญหา ในการเข้าร่วมเนื่องจากสถานะทางการเงินไม่เอื้ออำนวย ก่อนที่จะล้มละลาย ในปี ค.ศ. 1902
จอห์น เดวี่ส์ เจ้าของกิจการเบียร์ท้องถิ่นได้เข้ามาดูแลกิจการของสโมสร พวกเขาย้ายมาจาก นอร์ธ โรด เพื่อไปใช้สนามใหม่แถบ แบงค์ สตรีท หลังจากที่ อยู่ที่ นอร์ธ โรด มา 9 ปีเต็ม ขณะเดียวกันเพื่อนบ้านคู่แข่งขันอย่าง อาร์คลิค เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประธานสโมสรคนแรกของ นิวตัน ฮีธ บอกว่าทีมของเขาสมควรที่จะใช้ชื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากกว่า แต่ถึงอย่างไรทีมก็ช้าไป พวกเขาเลยตั้งชื่อกันมามากมายหลายชื่อ เช่น แมนเชสเตอร์ เซ็นทรัล, แมนเชสเตอร์ เซลติก และสองชื่อนี้ถูกปฏิเสธไป ในที่สุดชื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงเข้ามาแทนที่ในวันที่ 26 เมษายน ปี ค.ศ. 1902 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือชื่ออย่างเป็นทางการของพวกเขา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ผู้จัดการทีมคนแรกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือ เออร์เนสต์ แมกนัลล์ แต่ทีมที่ประสบความสำเร็จ กลับกลายเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมืองที่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ในปี 1904 ทว่าในเวลาต่อมาโดนสอบสวนและ พบว่ามีการจำหน่ายตั๋วผี ก็เลยทำให้เมือง แมนเชสเตอร์ โดนแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นเวลาถึง 1 ปี พอพ้นกำหนดโทษห้ามเล่น บิลลี่ เมเรดิธ นักเตะชาวเวลส์ กลายเป็นสมาชิกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทันที ทีมปีศาจแดงของ แมกนัลล์ ใช้เวลา 2 ปีเต็มถึงสามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่นสอง และเลื่อนชั้นมาเล่นในดิวิชั่นหนึ่งได้สำเร็จ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสถิติยิง 82 ประตู คว้าแชมป์สมัยแรกไปครอง อย่างยิ่งใหญ่ ในปี ค.ศ. 1908 ด้วยสไตล์การเล่นที่ "เร็วและสวยงาม" อย่างไรก็ตาม จอห์น เดวี่ส์ ประธานสโมสร ได้ทำการเปลี่ยนแปลงสนามเหย้าของทีมอีกครั้ง เขาตัดสินใจย้ายจาก แบงค์ สตรีท ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าพื้นสนามนั้นแย่มาก เขาย้ายห่างจากตัวเมืองไปอีก 5-6 ไมล์ ที่นั่นคือ "แทรฟฟอร์ด พาร์ค" ย่านชานเมือง แมนเชสเตอร์ และ เดวี่ส์ ได้เรียกสนามนัดเหย้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งนี้ว่า "โอลด์ แทรฟฟอร์ด"
จอห์น เดวี่ส์ มีแผนการสร้างสนาม สปอร์ต คอมเพล็กซ์ มีความจุถึง 80,000 ที่นั้ง มีห้องกายภาพบำบัด สระว่ายน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พวกเขาสิ้นเงินไปกับสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ค่อนข้างมากทำให้ทีมต้องขายนักเตะดีๆ ออกไปหลายคน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่มต้น ทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ในปี ค.ศ. 1911 และนั่นคือเกียรติยศ ครั้งสุดท้ายของ เออร์เนสต์ แมกนัลล์ มีเหตุการณ์อัปยศเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อ ลิเวอร์พูล เดินทางมาเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ชนะพวกเขาจะตกชั้นทันที ผลนัดดังกล่าวปรากฏว่าพวกเขาเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไป 2-0 และรอดพ้นจากการตกชั้นมาได้ แต่ในรายงานของผู้ตัดสิน ระบุว่า นักเตะฝ่าย ลิเวอร์พูล เล่นกันแปลกๆ เหมือนกับจะล้มบอล...
ต่อมามีการสอบสวน และพบว่ามีนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ข้างละ 4 คน ต่างพากันล้มบอลล่วงหน้า และมีการไปแทงพนันในร้านรับพนันท้องถิ่นของอังกฤษ ซึ่งผลจากการสอบสวนทำให้นักเตะทั้ง 8 คนนั้น โดนแบนห้ามเล่นฟุตบอลตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เป็นจังหวะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี หลังสิ้นสุดสงคราม โทษแบนนั้นได้ถูกยกเลิกไป ทั้งสองทีมจึงกลับมา บูรณะสร้างทีมกันใหม่ รวมไปถึงสภาพสนามที่โดนระเบิดเผาทำลายด้วย
ประวัติศาสตร์อันยาวนานยิ่งทำให้ยากที่จะระลึกถึงและเมื่อกาลเวลาย่างเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับความเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอดีตที่อาจจะต้องไปอยู่ในยุคของ [img]"บัสบี้ เบ็บส์"[/img] หรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้จากคุณปู่คุณทวด ช่วงเวลาสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของใครบางคนอาจจะเริ่มขึ้นในช่วงยุค 70 หรือบางคนอาจจะโตขึ้นมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและได้รับรู้เรื่องราว ความสำเร็จอย่างล้นเหลือของ [img]เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน[/img] ดังนั้นเรามีวิธีเดียวที่ทำให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับเมื่อ 100 ปีก่อน เริ่มจาก [img]"นิวตัน ฮีธ"[/img] กลายมาเป็น [img]"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"[/img] ก็คือการเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของสโมสรเท่านั้น
คาราเต้เคียวคุชิน
Master Oyama Masutatsu สุดยอดนักคาราเต้โลก
"มาซึทัทสึ โอยาม่า เคียวคูชิน (Masutatsu (Mas) Oyama Kyokushin)
ในปี 1952 อ.โอยาม่าได้เดินทางไปยังอเมริกาเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนนักคาราเต้ ชาวญี่ปุ่นพร้อมทั้งสาธิตคาราเต้ทั่วประเทศอเมริกาทั้งหมดกว่า 270 ครั้ง โดยในระหว่างการแสดงเขาทำให้ผู้ชมเหล่านั้นรู้สึกประหลาดใจกับความสามารถในการทำลายสิ่งต่างๆ ด้วยมือเปล่า และเป็นที่รู้จักในนาม God Hand อีกทั้งยังได้ทำการแสดงการต่อสู้กับนักมวย นักมวยปล้ำและอื่นๆ อีกมาก ทำให้คาราเต้เป็นที่น่าสนใจอย่างมากในสายตาของคนอเมริกัน
Mas Oyama ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1994 ด้วยอายุ 70 ปี นับเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวง และสร้างความสะเทือนใจอย่างมากให้แก่วงการคาราเต้ โดยเฉพาะลูกศิษย์และบุคคลที่เคารพในตัว อ.โอยาม่า แต่อย่างไรก็ตาม Kyokushinkai ก็ยังต้องดำเนินสืบต่อไป "
เป็นนักคารเต้ ที่เก่งและโด่งดังที่สุดคนนึงของโลก
และก็เป็นนักสู้ต้นแบบคนนึงของผมด้วยครับ
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ประวัติ
นาย นัทธ พงศ์ แข่งขัน
ผม เปงค นง่ายๆ ม่ะ คนเรื่องมาก
ช อบกวน ตีนค น อื่ น เปง ชีวิต ปร ะจำวั น
เ ป งค นห น้าด้า น แระ ขี้อา ย
โตม า อย ากเ ปงตำ รวจ
ลั๊ค เธอ ตั ว m ที่ซู๊ด ด ~